กรมสุขภาพจิต มอบของขวัญ เสริมสร้าง IQ ดี EQ เด่น ให้เด็กไทยทั่วประเทศ ย้ำ พ่อแม่ต้องเล่นกับลูก
วันนี้ (7 ม.ค.58) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล แถลงเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2558 ณ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กป่าไม้อุทิศ 9 จ.นนทบุรี ว่า การพัฒนาคุณภาพเด็กเป็นสิ่งที่ทุกประเทศให้ความสำคัญ เด็กจะเติบโตมาเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพนั้นประกอบด้วยปัจจัยหลายประการ สิ่งสำคัญที่สุด คือ พัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย ที่จะช่วยให้เด็กสามารถเรียนรู้และปรับตัวต่อสิ่งต่างๆได้ดี ตลอดจนสามารถพัฒนาตัวเองและสังคมได้ตามศักยภาพสูงสุด การพัฒนาเด็กปฐมวัยจึงถือเป็นวาระสำคัญของชาติ เพราะเด็กปฐมวัย คือ จุดเริ่มต้นของการพัฒนาคนในชาติ จึงจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงในครัวเรือน ทั้งนี้ การส่งเสริมพัฒนาการ รวมทั้ง ความฉลาดทางสติปัญญาและอารมณ์ (IQ-EQ) ที่สามารถทำได้ง่ายๆ ก็คือ การเล่น เพราะจะช่วยส่งเสริมความคิดอย่างเป็นระบบ ตลอดจนการคิดด้านบวกที่ย่อมส่งผลต่อการมีอารมณ์และจิตใจที่ดี สอดคล้องกับคำขวัญวันเด็กปีนี้ ที่ว่า“ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต” ซึ่งหมายถึง การที่เด็กต้องมีทั้ง IQ และ EQ ที่ดี ย่อมจะส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตในอนาคตต่อไป การลงทุนด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในช่วงปฐมวัยจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด
ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กล่าวต่อว่า เด็กไทยยังขาดการส่งเสริมให้มีพัฒนาการตามวัย ดังเห็นได้จากการสำรวจพัฒนาการเด็กปฐมวัยของกรมอนามัย ทุก 3 ปี ในปี 2542-2557 พบเด็กที่พัฒนาการสงสัยล่าช้ามีแนวโน้มสูงขึ้นแม้ว่าจะมีการปรับลดลงเล็กน้อยในปี 2557 (ปี 2542 ร้อยละ 29.7 ปี 2546 ร้อยละ 29 ปี 2550 ร้อยละ 32.3 ปี 2552 ร้อยละ 29.7 และ ปี 2557 ร้อยละ 27.5 ตามลำดับ) นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัยและกรมสุขภาพจิตได้ร่วมพัฒนาการให้บริการในคลินิกสุขภาพเด็กดี ( Well Child Clinic) เพื่อให้เด็กปฐมวัยได้รับการคัดกรองและส่งเสริมพัฒนาการ จากการดำเนินงาน พบว่า พ่อแม่/ผู้ดูแลเด็กยังขาดความตระหนักและขาดความรู้ในการเลี้ยงดูเด็ก อย่างเหมาะสม หญิงตั้งครรภ์ที่ฝากครรภ์ครั้งแรกอายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 12 สัปดาห์ มีเพียงร้อยละ 57.3 การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน มีเพียงร้อยละ 29.5 รวมถึงพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กยังขาดความรู้ ทักษะในการเลี้ยงดูเด็กที่ถูกต้อง อีกทั้ง จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2555 ยังพบว่า พ่อแม่/ผู้ดูแลเด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้และการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียนของลูก เพียงร้อยละ 20 มีหนังสืออ่านสำหรับเด็กอย่างน้อย 3 เล่มในบ้าน เพียงร้อยละ 43 ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก ทำให้เด็กไทยจำนวนมากมีระดับพัฒนาการต่ำกว่าที่ควรจะเป็นตามศักยภาพ
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก คือ รากฐานการศึกษา ปัจจุบันมีมากกว่า 20,000 แห่ง มีเด็กปฐมวัยอยู่ในความดูแลกว่า 1 ล้านคน จึงนับว่าเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญต่อการพัฒนาเด็กในประเทศเป็นอย่างดี และเนื่องในวันเด็กแห่งชาติปีนี้ กรมสุขภาพจิต ได้ส่งมอบของขวัญ ซึ่งเป็นชุดสื่อเทคโนโลยีด้านการเตรียมความพร้อมทักษะพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์และด้านการอ่านในเด็กปฐมวัย (Pre-math/Pre-reading skill) รวมทั้ง สื่อด้านการส่งเสริมพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ประกอบด้วย แผ่นพับ ภาพพลิก คู่มือ หนังสือสร้างเสริมทักษะชีวิต สื่อแอนิเมชั่น ชุดนิทรรศการ และ ชุดก้อนไม้ทรงเรขาคณิต ให้กับ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) และ รพ.ชุมชน (รพช.) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการแนะนำ
ส่งเสริมความรู้แก่พ่อแม่และผู้ดูแลเด็กให้สามารถนำความรู้ไปส่งเสริมทักษะพื้นฐานด้านการคิดในเชิงคณิตศาสตร์และด้านการอ่านแก่บุตรหลาน เพื่อการพัฒนาศักยภาพของสมองและการรู้คิดของเด็กไทยอันเป็นกำลังสำคัญต่อการพัฒนา
ประเทศในอนาคต ทั้งนี้ ได้จัดเตรียมไว้ให้พ่อแม่ผู้ปกครอง จำนวนกว่า 15,000 ชุด โดยโรงพยาบาลจิตเวชและศูนย์สุขภาพจิตจะนำไปเผยแพร่ในพื้นที่ดำเนินการต่อไป สอบถามเพิ่มเติมและดูรายละเอียดได้ที่ www.rajanukul.go.th รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว
ผอ.สถาบันราชานุกูล กล่าวว่า การส่งเสริมพัฒนาการเด็กเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสิ่งที่พ่อแม่/ผู้ดูแลเด็ก สามารถทำได้ที่บ้านผ่าน “การเล่น” ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากหรือใช้ของเล่นราคาแพง เพียงแค่เด็กได้เล่นกับพ่อแม่ได้ฝึกทักษะต่างๆในระหว่างเล่น ในบรรยากาศที่สนุกสนานและอบอุ่น เพียงเท่านี้เด็กจะได้รับการส่งเสริมพัฒนาการทางสมองจากกิจกรรมที่เล่นและมีพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมที่ดีจากการได้ใช้เวลาที่ดีกับพ่อแม่ ซึ่งต้องเริ่มฝึกตั้งแต่วัยทารก เช่น ให้ลูกสัมผัส สังเกต จับคู่ ฝึกนับและคัดแยกของเล่นใส่ตะกร้า เด็กก็จะได้เรียนรู้เรื่องจำนวนและการนับ รวมถึงการเรียงลำดับตามขนาดซึ่งเป็นพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ รวมทั้งได้เรียนรู้เรื่องภาษาผ่านการออกเสียงนับเลขหรือการบอกสีของเล่นระหว่างนับ อีกทั้งพ่อแม่/ผู้ดูแลเด็กยังได้ใช้เวลาเพื่อสร้างความรักความผูกพันกับเด็กได้อย่างคุ้มค่า ตลอดจนเป็นการเตรียมความพร้อมเด็กก่อนเข้าโรงเรียนได้อีกด้วย
ผอ.สถาบันราชานุกูล ได้แนะ 7 แนวทางสร้างสุขในการเล่นกับลูกหลาน ดังนี้ 1.สร้างโอกาสในการเล่นที่หลากหลาย 2. ให้เด็กรู้สึกว่าเราและเด็กกำลังเล่นด้วยกัน 3. ให้เด็กเล่นสิ่งของที่เขากำลังสนใจอยู่ในขณะนั้น 4. ให้คำชมหรือรางวัล เมื่อเด็กมีการเล่นที่พัฒนาขึ้น 5. ฝึกนิสัยการเล่นที่ดีให้เด็ก เช่น เล่นของเล่นทีละอย่าง เก็บของเล่นทุกครั้งหลังการเล่น 6. เฝ้าระวังความปลอดภัยขณะที่เด็กเล่น และ 7. ส่งเสริมการเล่นตามลำดับขั้น เพื่อการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น เช่น ให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนๆ ตลอดจนเลือกของเล่นให้เหมาะกับวัยและระดับพัฒนาการของเด็ก มีความปลอดภัย มีประโยชน์รอบด้าน มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานรับรอง และ ราคาไม่แพงจนเกินไป ที่สำคัญ ระหว่างที่ลูกเล่น ควรสังเกตพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก หากพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัย ควรรีบพาเด็กๆ ไปปรึกษาแพทย์
นอกจากนี้ พ่อแม่/ผู้ดูแลเด็ก ต้อง 1.เสมอต้นเสมอปลาย ยอมรับและเข้าใจ ไม่คาดหวังสูง 2.เป็นตัวอย่างที่ดี ฝึกวินัยลูกอย่างสม่ำเสมอ 3.แสวงหาความรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเลี้ยงลูกหลานกับผู้อื่นเสมอ 4.เป็นคนเลี้ยงลูกหลานอย่างมีเหตุผล ไปทางเดียวกันทั้งบ้าน ไม่ใช้อารมณ์ และ 5.เป็นคนที่ดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจอย่างสม่ำเสมอ ผอ.สถาบันราชานุกูล กล่าว